วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550

จิตรกรรมฝาผนัง


จิตรกรรมฝาผนังเรื่องสามก๊ก

วัดประเสริฐสุทธาวาส


จารึกบนแผ่นหินซึ่งฝังติดกับผนังด้านทิศตะวันตก ภายในโบสถ์อ่านได้ว่า ในปี พ.ศ. 2381 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 พระประเสริฐวานิชได้บริจาคเงินซ่อมแซมทั้งพระอาราม สันนิษฐานว่าพระประเสริฐวานิชผู้นี้น่าจะเป็นคนเดียวกับเจ้าสัวเส็ง เศรษฐบุตร แต่จากหลักฐานศิลปวัตถุที่พบในวัด ได้แก่ ใบเสมา พระประธานในวิหาร และพระประธานในพระอุโบสถ ระบุว่าวัดนี้มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยก่อนอยุธยาสิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้คือภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ วาดอยู่เหนือกรอบประตูหน้าต่างโดยรอบทั้งสี่ทิศ เป็นภาพเขียนลายเส้นสีดำ แบ่งเป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เขียนเป็นเรื่องสามก๊ก แต่ละช่องมีภาษาจีนกำกับ ตามคติการเขียนภาพแบบจีน ตัวภาพอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ลายเส้นยังคมชัด จะมีก็แต่บริเวณใกล้กรอบประตูหน้าต่างที่ภาพลบเลือนไปบ้าง



จิตรกรรมที่บานประตูและหน้าต่าง

พระวิหารวัดโสมนัสวรวิหาร

ภาพที่ประตูและหน้าต่างนั้นแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ด้านนอกและด้านใน เฉพาะด้านนอกทั้งที่ประตูและที่หน้าต่างทุกบาน เป็นภาพสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ทุกช่องและทุกบาน ซึ่งเรียงลำดับจากบนสุดลงมาด้านล่างตามลำดับ ดังนี้ ๑. จักรแก้ว ๒. ช้างแก้ว ๓. ม้าแก้ว ๔. แก้วมณี ๕. นางแก้ว ๖. ขุนคลังแก้ว ๗. ขุนพลแก้ว แต่ภาพที่ประตูใหญ่กว่าภาพที่หน้าต่าง แม้ที่ประตูและหน้าต่างพระอุโบสถด้านนอก ก็มีภาพสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิเช่นกัน การที่มีสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ ประการนั้น สันนิษฐานว่า ภาพเหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า การที่พระเจ้าจักรพรรดิจะได้สมบัติทั้ง ๗ ประการนี้ ก็ด้วยการประพฤติธรรมคือจักกวัตติวัตร มีการปกครองประเทศโดยธรรม เป็นต้น แม้คนทั่วไปก็เช่นกัน ถ้าจะให้สมบัติเกิดขึ้นแก่ตนก็ต้องประพฤติธรรม ไม่ว่าจะเป็นมนุษยสมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ บุคคลจะได้รับก็ด้วยการประพฤติธรรมทั้งสิ้น



จิตรกรรมวัดเทพนิมิตร

วัดเทพนิมิตร ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านกลาง อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ชื่อเดิมวัดบ้านกลางจิตรกรรมฝาผนังวัดเทพนิมิตรอยู่ที่ฝาผนังด้านในอุโบสถทั้ง 4 ด้านจิตรกรรมวัดเทพนิมิตร เป็นจิตรกรรมพื้นบ้าน เขียนด้วยสีฝุ่นเป็นเรื่องราวพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550

อาจารย์ผู้สอนวิชาสุนทรียศาสตร์


อาจารย์วิวรรธน์ จันทร์เทพ

สุนทรียศาสตร์ - Aesthetics

สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) คืออะไร?


สุนทรียศาสตร์คืออะไร? และ เรียนไปทำไม?
ตอบ สุนทรียศาสตร์เป็นปรัชญาสารทหนึ่ง ที่ว่าด้วยความงามทั้งในงานศิลปะ และในธรรมชาติ โดยศึกษาประสบการณ์คุณค่าความงามและมาตรฐานในการวินิจฉัยว่า อะไรงาม อะไรไม่งาม
สุนทรียศาสตร์มีประโยชน์ต่อมนุษย์และสังคมอย่างไร?
ตอบ สุนทรียศาสตร์ ตามความเห็นคิดเห็นคือ สามารถช่วยในเรื่องของกระบวนการคิด การตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล ทำให้ผู้นั้นมีจิตใจอ่อนโยน และมองโลกในแง่ดี ไม่แข็งจนเกินไป นอกจากนั้น การเข้าใจในสุนทรีย์ศาสตร์ยังช่วยส่งเสริมให้มนุษย์ได้มีแนวทางในการแสวงหาความสุขจากความงามต่างๆกันไป และทำให้เห็นความสำคัญของสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ ตลอดจนรู้จักนำสุนทรียศาสตร์ไปใช้ในชีวิตด้วยเหตุผล และความรู้สึกต่างๆได้อย่างเหมาะสม
สุนทรียศาสตร์มีประโยชน์ต่อวิชาชีพพยาบาลอย่างไร?
ตอบ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพพยาบาลทุกคนจะได้รับการสอนเสมอว่า วิชาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่ต้องปฏิบัติงานกับบุคคลซึ่งอยู่ในภาวะเจ็บป่วยโดยต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการให้การพยาบาล นั่นหมายถึง ผู้ป่วยเป็นบุคคลซึ่งมีจิตใจ มีความรู้สึก กลัวการเจ็บป่วย กลัวการตาย การให้การพยาบาลจำเป็นต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อวิชาชีพก่อน จากนั้นต้องมีความตั้งใจในการให้การพยาบาล เข้าใจความรู้สึก และเห็นใจผู้ป่วย ในการให้การพยาบาลควรปฏิบัติด้วยความนุ่มนวลพร้อมกับให้การพยาบาลอย่างมีคุณภาพ มีเหตุและผล ร่วมกับใช้ความรู้และศาสตร์ ซึ่งหมายถึงวิชาต่างๆที่ได้เรียนมานำมาใช้ให้สอดคล้องกับการพยาบาลต่อผู่ป่วยในแต่ละคน....ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคน พยาบาลทุกท่านต้องทำความเข้าใจและให้การพยาบาลแตกต่างกันออกไป การปฏิบัติงาน และการให้การพยาบาลต่อผู้ป่วยเหล่านั้น สุดท้ายจะส่งผลกลับมาด้วยความภาคภูมิใจ และทำให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง และวิชาชีพมากขึ้นทุกวัน ทุกวัน...ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า การให้การพยาบาลและการปฏิบัติงานในวิชาชีพพยาบาลนั้น สอดคล้องกับคำกล่าวของท่านอาจารย์ที่ว่า...การเรียนสุนทรียศาสตร์ ช่วยทำให้มนุษย์เกิดความสมดุลย์ของกาย คือมีเหตุมีผล ของจิตคือ มีความรู้สึก นอกจากนั้น การเรียนสุนทรียศาสตร์ยังช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน มองโลกในแง่ดีอย่างมีเหตุมีผล และส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของสรรพสิ่งต่างๆในโลก จึงสอดคล้องกับงานวิชาชีพพยาบาล ในการดูแลให้การพยาบาลต่อผู้ป่วย และเพื่อนมนุษย์ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น.

ประวัติส่วนตัว - Biography

ประวัติส่วนตัว - Biography
ชื่อ นางพูนสุข นามสกุล เกาะน้อย
วัน เดือน ปีเกิด 15 ธันวาคม พ.ศ. 2505 เวลา 05.37น. ปึขาล
ที่อยู่ บ้านเลขที่ 67/335 หมู่ที่ 2 ต.คอกกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 8 คนด้วยกัน ทั้งบิดา และมารดา เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน บิดาและมารดาเข้าใจมีบุตรสลับกันคือ มีบุตรสาวคนหนึ่ง บุตรชายคนหนึ่งสลับกันจะมาคนที่ 7 เป็นพี่สาว และคนที่ 8 ควรจะเป็นผู้ชาย แต่กลับเป็นผู้หญิงคือตัวข้าพเจ้าเอง ขณะที่มารดาตั้งครรภ์ข้าพเจ้าอยู่นั้นมารดาข้าพเจ้าแพ้ท้องชอบรับประทานดินเหนียว ข้าพเจ้าเลยเกิดมาตัวดำ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยสู้ดีนัก บิดามารดาไม่มีอาชีพพี่ชายคนที่ 2 ออกเรือตังเกเพื่อหาเลี้ยงภายในครอบครัว พี่น้องทุกคนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ทุกคน ก็จะมีเพียงแต่ตัวข้าพเจ้าที่ได้รับการศึกษาสูงที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 8 คน โดยได้รับการส่งเสียของพี่สาวคนที่ 3 เมื่ออายุ 7 ปี ถึงเกณฑ์เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้เข้าศึกษา ณ โรงเรียนเทศบาลวัดโกรกกรากจนจบชั้นประถมปีที่ 4 ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองคิดว่าคงได้เรียนเพียงแค่นี้ เพราะฐานะทางบ้านยากจน มันเป็นบุญหรือโชคมิอาจทราบได้ มีโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่งเป็นปีแรกที่เปิดสอนชั้นประถมปีที่ 5 ถึง ประถมปีที่ 7 ซึ่งอยู่อออกไปไกลจากบ้านเท่าไรนัก สามารถเดินเท้าไปเรียนได้ ข้าพเจ้าจึงไปสมัครเรียนเป็นรุ่นแรก ในปีนั้นมีนักเรียนทั้งหมด 22 คน ลาออกกันไปบ้างจนเหลืออยู่ 17 คน เป็นชาย 12 คน หญิง 5 คน และข้าพเจ้าเป็นนักเรียนหญิงหนึ่งในจำนวน 5 คนนั้น ลักษณะโรงเรียนสมัยก่อนจะอยู่ในป่ากระบูน ไม่มีทางเท้าเป็นลูกรัง จะเป็นดินเหนียว ข้าพเจ้าไม่มีรองเท้านักเรียนใส่ไปเรียน จึงต้องเดินเท้าเปล่าบ้าง ใส่รองเท้าแตะบ้าง ซึ่งวันไหนฝนตกก็จะต้องย่ำดินโคลนเข้าโรงเรียนเท้าข้าพเจ้าจะเปื้อนไปด้วยโคลน ข้าพเจ้าอดทนเรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 7 ก็เข้าไปสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งก็คือโรงเรียนสมุทรสาครบูรณะในปัจจุบันนี้ และนับเป็นโชคดีของข้าพเจ้าอีกเพราะว่าไม่มีการสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาเต็มจำนวนที่สมัคร ระหว่างเรียน ม.ศ.1 (ในสมัยนั้น) ข้าพเจ้าจึงจำเป็นจะต้องหารายได้พิเศษเพื่อเป็นค่าขนมไปโรงเรียนโดยการไปรับจ้างแกะหอยลายต้ม ซึ่งได้รับค่าจ้างกิโลกรัมละ 3 บาท ในคืน ๆ หนึ่งก็จะได้ประมาณ 50 บาทต่อคืน แต่ว่าไม่ได้มีทุกคืนไป เมื่อเรียนมาจนถึงชั้น ม.ศ. 3 ทางสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครได้เปิดรับสมัครผู้เข้าเรียนผดุงครรภ์อนามัยโดยใช้วุฒิการศึกษาชั้น ม.ศ. 3 ข้าพเจ้าคิดแล้วว่ามีทางเดยวที่จะเรียนแล้วมีงานทำที่มั่นคง จึงเข้าไปสมัคร และผลการสอบปรากฎว่าข้าพเจ้าติดสำรอง และไม่มีใครสละสิทธิ์ ทำให้ข้าพเจ้าต้องเรียนต่อ ม.ศ. 4 ต่อไป และในปีนี้เองก็ได้เปิดรับสมัครขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และผลการสอบปรากฎออกมาว่าข้าพเจ้าสอบติดตัวจริง จึงไปทำสัญญาเรียนต่อ จึงมีวุฒิสามัญศึกษาแค่ ม.ศ. 4 แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนผดุงครรภ์อนามัยวชิระในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าเรียนอยู่ 1 ปี 6 เดือนจึงจบการศึกษา ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 และได้เข้ารับราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ 1 ได้รับเงินเดือนในขณะนั้น 1,695 บาท ค่าครองชีพ 200 บาท ตอนข้าพเจ้าเข้ารับราชการนั้นอายุเพียง 19 ปี ณ สถานีอนามัยบ้านนาดี ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ข้าพเจ้าสมรสเมื่ออายุได้ 22 ปี และมีบุตรชายคนแรก เมื่อบุตรชายคนแรกอายุได้ ขวบ วิทยาลัยพยาบาลชลบุรีได้เปิดสอนหลักสูตร พยาบาลและผดุงครรภ์ระดับต้น (พยาบาลเทคนิค) ข้าพเจ้าได้เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 อายุได้ 25 ปี และจบหลักสูตรในปี พ.ศ. 2532 ได้รับประกาศณียบัตรจากพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรชายาฯ และได้เข้ารับราชการที่เดิม ในตำแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน 4 แล้วข้าพเจ้าก็ได้ตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรสาว ข้าพเจ้าคิดว่าเพียงพอแล้ว จึงได้ทำการคุมกำเนิดด้วยยาฉีดคุมกำเนิด และในปี พ.ศ. 2542 ครอบครัวของข้าพเจ้าได้เกิดมีปัญหาขึ้นจนถึงขั้นหย่าร้างกับสามี เคยใช้นามสกุลของสามีก่อนการหย่าคือ "ม่วงไข่" และได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลของตัวเองแต่เดิมคือ "เกาะน้อย" ข้าพเจ้าก็ดูแลลูกมาตลอดทั้ง 2 คน จนกระทั่งลูก ๆ โตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ข้าพเจ้าจึงได้ขออนุญาติจากลูก ๆ ทั้ง 2 เรียนต่อพยาบาลศาสตร์(ต่อเนื่อง) เมื่อปี พ.ศ. 2549 ขณะนั้นลูกชายคนโตเรียนอยู่ที่สถาบันราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา(มหาวิทยาลัยบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในปัจจุบัน) ส่วนบุตรสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ณ โรงเรียนสมุทรสาครบูรณะ และเตรียมเอนทรานซ์แล้ว ขณะนี้ข้าพเจ้าอายุได้ 45 ปี แต่ก็ยังมีไฟที่จะศึกษาต่อให้สูงขึ้นอีกถ้ามีโอกาสที่เป็นไปได้ ข้าพเจ้าอยากเรียนต่อจนจบระดับปริญญาโท แต่รู้สึกว่าสมองเริ่มจะแย่ลงแล้ว ตอนนี้บุตรชายคนโตอายุได้ 23 ปี มีครอบครัวแล้ว และมีบุตรชาย 1 คนอายุประมาณได้ 4 เดือน พัฒนาการของเขาดีมากจนเกินวัยของเด็กวัยเดียวกัน ข้าพเจ้าจึงได้สั่งไว้ว่าให้กินนมแม่ตลอดจนกว่าจะ 4 เดือนจึงจะให้อาหารเสริมกับเด็ก ซึ่งก็คือข้าวบดและน้ำส้มสด ความภาคภูมิใจของข้าพเจ้าคือการได้เป็นคุณย่ายังสาว(แก่) ที่มีหลานชายวัย 4 เดือน หน้าตาทะเล้น ยิ้มเก่ง ตัวอ้วนกลม น่ารักน่าชัง(ข้าพเจ้ามีรูปมาให้ดูความทะเล้นน่ารักน่าชังของเจ้าหลานตัวอ้วนกลมด้วย)

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ประวัติการทำงาน


2 พ.ย.2524 เจ้าหน้าที่ส่งเสรมสุขภาพระดับ 1 สถานีอนามัยบ้านนาดี ต.นาดี อ. เมือง จ.สมุทรสาคร
1 เม.ย. 2528 เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ระดับ 2 สถานีอนามัยบ้านโพธิ์แจ้ ต. บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
1ต.ค.2530 เจ้าหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ ระดับ 3 สถานีอนามัยบ้านโพธิ์แจ้ ต.บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
1ต.ค. 2532 เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชนระดับ 4 สถานีอนามัยบ้านนาดี ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
1ต.ค. 2538 เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชนระดับ 5สถานีอนามัยบ้านนาดี ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
1เม.ย. 2542 เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชนระดับ 6 สถานีอนามัยบ้านนาดี ตงนาดี อ.เมือง จ. สมุทรสาคร
1ธ.ค. 2547 เจ้าหน้าที่บริหารงานสาธารณสุขระดับ 6 สถานีอนามัยบ้านโคก ต. พันท้ายนรสิงห์ อ. เมือง จ.สมุทรสาคร
ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อในหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ต่อเนื่อง(2ปี) ณ. วิทยาลัยบรมราชชนนี ราชบุรี

หลานคุณย่ายังสาว(แก่)

ง่วงอ่ะ ขอหลับหน่อยนะ

เอ้า ยิ้มหน่อยยยย..

หม่ำ ๆ อาหย่อย